รวบ "สันหนองเสือ" บัญชีม้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์
Source: สำนักข่าวไทย อสมท
กรุงเทพฯ 18 พ.ค. - สืบนครบาล รวบ "สันหนองเสือ" บัญชีม้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างเป็นตำรวจเชียงใหม่ หลอกพัสดุผิดกฎหมายให้โอนเงินตรวจสอบ
ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมทางออนไลน์ ที่กระทำความผิดทุกรูปแบบ ซึ่่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โดยชุดลาดตระเวนออนไลน์ สืบนครบาล ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายในหลายท้องที่ว่าตกเป็นผู้เสียหาย ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงออนไลน์ ชุดสืบนครบาลจึงตรวจสอบพบบัญชีผู้ต้องหาที่รับโอนเงินรายดังกล่าวมีหมายจับ 4 หมาย ในหลายท้องที่ จึงพยายามสืบหาตัวผู้ต้องหาเพื่อนำคืนความสุขให้แก่กลุ่มผู้เสียหายที่ได้รับความเดือดร้อน สูญเงินกว่า 7 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส. นำโดย พ.ต.ท.พิทักษ์ ศรีกะแจะ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ พร้อมชุดปฏิบัติการที่ 3 จับกุม นายรังสรรค์ อายุ 50 ปี ผู้ต้องหา 4 หมายจับ
(1) ตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี ที่ 588/ 2565 ลงวันที่ 21 ก.ย. 65
ข้อหา "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลคนอื่นและโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น"
(2) ตามหมายจับศาลจังหวัดราชบุรี ที่ จ.113/2566 ลงวันที่ 7 มี.ค. 66
ข้อหา "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงนเป็นบุคคลอื่นและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน"
(3) ตามหมายจับศาลจังหวัดบึงกาฬ ที่ 56/2566 ลงวันที่ 20 ก.พ. 66
ข้อหา "สนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง"
(4) ตามหมายจับศาลแขวงสระบุรี ที่ จ.55/2566 ลงวันที่ 28 มี.ค. 66
ข้อหา "ร่วมกันฉ้อโกง โดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง"
พฤติการณ์กล่าวคือ สืบทราบว่าตัวผู้ต้องหาได้เดินทางมาทำธุระในท้องที่เขตราชเทวี ชุดจับกุมจึงสืบสวนติดตามจับกุมจนพบ นายรังสรรค์ หรือ "สันหนองเสือ" อายุ 50 ปี พร้อมแสดงหน้าหมายจับที่ 588/2565 ศาลอาญาธนบุรี ลงวันที่ 21 กันยายน 2565
ความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลคนอื่น และโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น"
ความเสียหายในทางคดีและพฤติการทางคดีนี้ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2565 เวลา 15.00 น. ขณะที่ผู้เสียหายทำงาน มีโทรศัพท์ติดต่อมาหาตนเอง แจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ DHL แจ้งว่ามีพัสดุของผู้เสียหายตีกลับ จากนั้นมิจฉาชีพที่อ้างตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ DHL ต่อสายสนทนา ให้คุยกับเจ้าหน้าที่ที่อ้างว่าเป็น DHL สาขา จ.เชียงใหม่ อ้างว่าตอนนี้พัสดุที่ตีกลับนี้ ตอนนี้ตกค้างยังกรมศุลกากร รับพัสดุไว้ อ้างว่าในพัสดุที่เป็นชื่อผู้เสียหายชิ้นนี้ ตรวจพบมีสมุดเดินทาง 14 เล่ม และบัตร ATM 18ใบ ซุกซ่อนในกล่องพัสดุ ต้องทำการตรวจสอบและส่งรายงานให้ สภ.เมืองเชียงใหม่
จากนั้นจึงมีการติดต่อจากมิจฉาชีพ อ้างตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชื้อ ร.ต.ต. ติดต่อมาเพื่อให้ผู้เสียหายพูดคุยทางแอปพลิเคชันไลน์ ในวันเวลาดังกล่าวข้างต้น 15.27 น. ผู้เสียหายได้พูดคุยสนทนากับมิจฉาชีพที่แอบอ้างชื่อ พ.ต.ต.สราวุฒิ แจ้งว่าผู้เสียหายมีคดีเกี่ยวกับ "การฟอกเงิน" เนื่องจากตอนนี้ได้จับกุมคนร้าย พบเส้นการเงินสัมพันธ์กับผู้เสียหาย จากนั้นมิจฉาชีพที่อ้างตนเป็น พ.ต.ต.สราวุฒิ ได้ส่งบัตรประจำตัว พร้อมหมายศาล มาทางไลน์ให้ผู้เสียหายดู และแจ้งผู้เสียหายว่าจะต้อง "อายัดทรัพย์สิน" ของตนทันที ต้องทำการโอนเงินให้ยัง ปปง. ตรวจสอบ มิจฉาชีพยังแจ้งว่าหากโอนมาให้ตรวจสอบเสร็จสิ้นจะโอนกลับยังผู้เสียหาย
ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อ เนื่องจากวิตกกังวลว่าตนจะถูกดำเนินคดีอาญาฟอกเงิน อีกทั้งเชื่ออย่างสนิทใจ เพราะมิจฉาชีพมีการแสดงบัตรและเอกสารหน้าหมายศาล ผู้เสียหายทำการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารของตน เข้าบัญชีผู้ต้องหา เป็นจำนวน 20 ครั้ง ในวันเวลาดังกล่าว มูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 7,357,000 บาท จากนั้นภายหลังที่ผู้เสียหายโอนเงินครบเสร็จสิ้น มิจฉาชีพมีการบล็อกการสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ ทำให้ผู้เสียหายคิดว่าตนถูกมิจฉาชีพหลอกลวง จึงเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ท่าข้าม เพื่อดำเนินการสอบสวน สืบทราบว่าบัญชีปลายทางดังกล่าวจดทะเบียนในชื่อของนายกันตพัฒน์ อายุ 29 ปี ขณะนี้ควบคุมตัวแล้ว และนายรังสรรค์ อายุ 50 ปี ผู้ต้องที่ถูกจับนี้
เบื้องต้นในชั้นการจับกุม ผู้ต้องหารับว่าตนเป็นบุคคลตามหน้าหมายจับจริง ปัจจุบันอายุ 50 ปี ให้การรับสารภาพว่าเปิดบัญชีให้กลุ่มนายทุนที่รู้จักกัน ช่วงสถานการณ์โควิดในปี 2563 ตนตกงาน เมื่อมีกลุ่มนายทุนในชุมชนมาเสนอเงื่อนไขว่า "หากตนขายบัญชีธนาคารพร้อมซิมโทรศัพท์มือถือ 5 ซิม" นายทุนดังกล่าวจะชำระค่าเช่าบ้านให้ ด้วยเงินเพียง 3,000 บาท โดยตนไม่ได้เปิด ATM มีเพียงบัญชีธนาคาร พร้อมซิมโทรศัพท์ 5 หมายเลข
ผู้ต้องหายังให้การว่า ผู้ชักชวนดังกล่าวพาตนไปที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ บ้าน จากนั้นใช้บัตรประชาชนของตนจดทะเบียนซิม ยอมรับว่าตนเป็นผู้สแกนใบหน้าด้วยการยืนยันบัตรประชาชนด้วยตนเองจริง
จากนั้นตนไม่ได้ติดต่อกับทางผู้ชักชวนอีกเลย จนช่วงปลายปี 2566 ตนทราบข่าวว่านายทุนดังกล่าวที่ตระเวนหาคนเปิดบัญชี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมแล้ว ปัจจุบันลูกชายอายุ 30 ปี ก็ตกเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำ ด้วยความผิดฐานเดียวกัน เนื่องจากขายบัญชีพร้อมๆ กัน ให้กลุ่มนายทุนที่นำไปกระทำความผิดเดียวกัน ผู้ต้องหายังบอกอีกว่าตนทราบว่ามีหมายเรียกมายังบ้านที่ตนพักอาศัยตามที่อยู่ทะเบียนบ้าน แต่ตนไม่คิดว่ามันจะเป็นคดีความที่นำมาสู่ความผิดได้จริง จึงไม่ได้ไปตามหมายเรียก พอตนว่างงานก็ตระเวนหาสมัครงาน จนวันนี้เดินทางจากหนองเสือ จ.ปทุมธานี เข้ามาสุขุมวิท เพื่อหางานทำ
พล.ต.ต.ธีรเดช ฝากเตือนประชาชน ปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพอ้างเป็นไปรษณีย์โทรศัพท์หลอกลวงว่ามีพัสดุตกค้าง และเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน หลอกขอข้อมูลส่วนตัว และให้เหยื่อโอนเงินไปให้ตรวจสอบ มีประชาชนยังหลงเชื่ออยู่เป็นจำนวนมาก แนะนำว่าควรติดต่อหน่วยงานราชการด้วยตนเองอีกครั้ง หรือปรึกษากับคนในครอบครัว ไม่ควรเชื่อข้อมูลจากบุคคลในโทรศัพท์ เพื่อไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อแก๊งมิจฉาชีพ จึงขอฝากเตือนภัยประชาชนให้ทราบโดยมีวิธีการรับมือเบื้องต้นดังนี้
1.ไม่หลงเชื่อข้อมูลทางโทรศัพท์ทางเดียว ให้ติดต่อกลับ น่วยงานราชการที่ได้รับอ้างถึงเพื่อตรวจสอบ
2.ข้อมูลทางการเงินเป็นความลับ ต้องไม่ให้ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลการทำธุรกรรม Online, รหัส OTP ที่ได้รับผ่าน SMS เด็ดขาด
3.ห้ามโอนเงินตามคำบอกเด็ดขาด.-414-สำนักข่าวไทย